แต่ละคนมีแรงบันดาลใจที่จะจัดฟันไม่เหมือนกัน ส่วนใหญ่อาจจะเกิดจากปัจจัยภายใน จากความเก็บกดภายในใจ เช่น เพื่อนล้อ เพื่อนแซวเรื่องฟัน หรือเอาไปเรียกเป็นฉายาต่างๆนานา บางคนอาจจะเกิดจากความไม่มั่นใจในตัวเอง รู้สึกว่าตัวเองยิ้มไม่สวย จนไม่กล้ายิ้มให้เห็นฟัน จะถ่ายรูปแต่ละทีก็ยิ้มแค่มุมปาก
แรงบันดาลใจของอีกกลุ่มอาจจะเกิดมาจากปัจจัยภายนอก เช่น ดารานักแสดง ไอดอล ที่เห็นเค้ายิ้มแล้วฟันเรียงสวยงาม ช่างดูมีเสน่ห์เหลือเกิน อยากยิ้มแล้วฟันสวยเหมือนดาราคนนั้นๆ บางคนก็ได้ยินมาว่าจัดฟันแล้วหน้าจะเข้ารูป จมูกโด่งขึ้น คางสวยขึ้น ก็เลยอยากจะจัดกับเค้าบ้าง บางคนยิ่งไปกว่านั้นอยากจัดฟันเพราะอยากใส่เหล็กจัดฟัน เห็นเนตไอดอลคนนั้นๆยิ้มฟันเหล็กแล้วน่ารักดี อยากมีฟันเหล็กบ้าง ก็ว่ากันไป
ทั้งหมดเหล่านี้อาจจะเป็นปัจจัยหนึ่งๆที่ทำให้เรารู้สึกว่าอยากจัดฟัน บางทีปัจจัยเหล่านี้อาจจะเป็นอารมณ์ชั่ววูบที่ทำให้เรารู้สึกว่า “เราอยากจัดฟัน” ขึ้นมา เลยรีบไปตามหาคลินิกที่จะจัดฟันให้เราเร็วที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ จนลืมไปว่า เหรียญมีสองด้านเสมอ จัดฟันมีข้อดีครับ แน่นอน แต่ก็มาพร้อมกับข้อเสีย ข้อจำกัดบางประการ ที่ควรจะต้องพิจารณาให้ดีเสียก่อน แค่เราจะไปเที่ยวกันยังต้องมีการเตรียมตัวกันเลย แล้วทำไมจะจัดฟันเราถึงจะไม่ต้องเตรียมตัวกัน จริงมั้ยครับ
อยากให้พึงระลึกว่า บางครั้งการรีบคิด รีบตัดสินใจทำอะไรบางอย่างเร็วเกินไป อาจทำให้ลืมไปว่า เราควรจะต้องเตรียมตัว เตรียมใจอะไรบ้าง เพื่อที่จะให้เกิดปัญหาตามมาน้อยที่สุด บทความนี้ ทางคลินิกทันตกรรม108 คลินิกจัดฟัน หาดใหญ่ จะมาบอกในสิ่งที่คนอยากจัดฟันต้องรู้กันครับ
1. เตรียมเวลา
ข้อนี้ส่วนตัวผู้เขียนให้ความสำคัญมากๆครับ Timing ในการจัดฟันถือเป็นสิ่งสำคัญมากๆเลยทีเดียว เนื่องจากการจัดฟัน เป็นการรักษาทางทันตกรรมที่ใช้เวลาค่อนข้างนาน โดยเฉลี่ยการจัดฟันจะต้องพบหมอจัดฟันประมาณ 20-30 ครั้ง (ซึ่งขึ้นอยู่กับความยากง่ายของแต่ละเคส อาจจะสั้นหรือยาวกว่านี้ก็เป็นไปได้)
ถ้าหากพบหมอจัดฟันเดือนละ 1 ครั้งก็จะใช้เวลาประมาณ 2-3 ปี ต่อเนื่องกัน ดังนั้น หากเราต้องการจัดฟัน จะต้องลองดูเวลาของตัวเองว่าจะสามารถพบหมอจัดฟันได้ต่อเนื่องนานขนาดนั้นหรือไม่
ยกตัวอย่างที่พบได้บ่อยคือน้องๆนักเรียนนักศึกษา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง มัธยม3 มัธยม6 นักศึกษาปี4 ซึ่งกำลังจะเรียนจบในสถาบันเดิม เพราะหลังจากเริ่มจัดไปได้ไม่นาน ก็อาจจะต้องย้ายสถานที่เรียนหรือต้องเริ่มทำงานต่างสถานที่ แล้วอาจจะไม่สะดวกเดินกลับมาพบหมอจัดฟันได้ทุกเดือน ซึ่งจะทำให้การจัดฟันยืดเยื้อออกไป หรือถึงจะสามารถเดินทางไปกลับทุกเดือนได้ ก็อาจจะสิ้นเปลืองค่าเดินทางมากเกินไป
ส่วนใหญ่ของคนไข้ที่ย้ายสถาบันมักจะผิดนัดไปนานหลายเดือน เพราะในช่วงแรกของการย้ายสถาบัน ก็จะมีกิจกรรมมากมาย เช่น รับน้อง ปฐมนิเทศ และใช้เวลาปรับตัวเข้ากับสถานที่ใหม่อีก บางคนก็ไม่ได้กลับมาพบหมอเลยแถมยังดูแลฟันไม่ดีอีก จนเกิดฟันผุ โรคเหงือก และโรคเกี่ยวกับฟันอื่นๆมากมาย
ตัวอย่างอื่นๆได้แก่ ยังไม่แน่ใจกับสถานที่ทำงาน เตรียมย้ายงาน ย้ายบ้าน หรือลักษณะของงาน ทำงานไม่เป็นหลักเป็นแหล่ง ต้องเดินทางไปประจำที่อื่นอยู่เรื่อยๆ เป็นต้น
ในกรณีเหล่านี้แนะนำให้ตรวจสอบตัวเองให้มั่นใจก่อนว่าจะสามารถเดินทางไปพบหมอจัดฟันที่ดูแลเราได้เป็นประจำทุกเดือนอย่างน้อย 2 ปีต่อเนื่องกัน
2. เลือกคลินิกและหมอจัดฟัน
โดยทั่วไปเราควรเลือกคลินิกจัดฟันที่เราสามารถเดินทางไปได้ทุกๆเดือน บางครั้งการเลือกคลินิกดีๆ หมอจัดฟันดังๆ อาจจะไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดเท่าไหร่ ถ้าหากเราไม่สะดวกเดินไปทางไปหาคุณหมอท่านนั้นได้ทุกเดือน เพราะเราจะต้องระลึกไว้เสมอว่า ยิ่งเราผิดนัดหมอจัดฟันบ่อยแค่ไหน ระยะเวลาโดยรวมในการรักษาก็จะยืดออกไปด้วย แต่เราต้องมั่นใจด้วยว่าคุณหมอจัดฟันของเรามีความรู้และประสบการณ์ที่เพียงพอ
ก่อนที่จะตัดสินใจเลือกคลินิกที่ไหนก็อาจจะอ่านรีวิว หรือสอบถามเพื่อนๆที่จัดฟันอยู่หรือเคยจัดฟันว่าคลินิกที่รับการรักษาอยู่เป็นอย่างไรบ้าง หมอจัดฟันแต่ละคนอาจจะมีสไตล์การจัดฟันที่ต่างกันออกไปบ้างแต่อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน ถ้าเรามีเพื่อนๆที่เคยจัดฟันอยู่กับหมอคนนั้นๆ ก็อาจจะพอจะทราบแนวทางคร่าวๆว่าเราเหมาะสมกับหมอที่เราเลือกรักษาด้วยหรือไม่
นอกจากนั้นหมอจัดฟันที่จะมาจัดฟันให้เราก็ควรจะมีประสบการณ์มากเพียงพอและเรียนจบเฉพาะทางด้านทันตกรรมจัดฟันมาโดยตรง ซึ่งเราสามารถตรวจสอบได้ง่ายๆว่าหมอจัดฟันของเราจบเฉพาะทางทันตกรรมจัดฟันมาหรือไม่โดยการสอบถามชื่อและนามสกุลของคุณหมอเพื่อไปตรวจสอบในเว็บไซต์
https://www.thaiortho.org/รายชื่อทันตแพทย์จัดฟัน/
สิ่งที่ต้องเตรียมตัวก่อนเริ่มจัดฟัน อ่านบทความเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ https://www.idolsmiledental.com/